10 Life Skills ที่ลูก ๆ ควรเรียนรู้ก่อนก้าวสู่การเติบโต
แทบทุกคนคงเคยได้ยินประโยค “พ่อแม่คือครูคนแรกในชีวิตของลูก”
นั่นก็เพราะตั้งแต่เกิดจนถึงก่อนเข้าโรงเรียนนั้น เด็ก ๆ
จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของพ่อ แม่ และครอบครัวตลอดเวลา และช่วงเวลานี้แหละที่พวกเขาจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่อยู่รอบตัว
ไม่ว่าจะเป็นภาษา ท่าทาง หรือทัศนคติที่จะส่งผลต่อการเติบโตของพวกเขา ซึ่งความต้องการของพ่อแม่ทุกคนคงไม่แตกต่างกันนัก
นั่นคือหวังให้ลูก ๆ เติบโตขึ้นอย่างมีความสุข และเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่จะต้องพบเจอในอนาคต
Global Education Service จึงอยากแนะนำทักษะการใช้ชีวิต (Life Skills) ที่ควรสอนให้เด็ก ๆ เรียนรู้ตั้งแต่วัยเยาว์ เตรียมพร้อมพวกเขาในเบื้องต้นสู่การค่อย ๆ เติบโต
1. รักษาสุขภาพและสุขอนามัย
สิ่งสำคัญที่สุดที่ลูก ๆ
ควรเรียนรู้เป็นอันดับแรก คือการดูแลสุขภาพและสุขอนามัยของตัวเอง
แน่นอนว่าเชื้อโรคนั้นกระจายอยู่ทุกที่ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะพยายามดูแลพวกเขาอย่างไร
ก็ไม่อาจปกป้องพวกเขาจากเชื้อโรคได้ตลอดเวลา
ดังนั้นการสอนให้พวกเขารู้ว่าการล้างมืออย่างถูกวิธีทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารคือสิ่งสำคัญ
และการแปรงฟันอย่างน้อย 2 ครั้ง
หลังตื่นนอนและก่อนเข้านอนจะทำให้พวกเขาห่างไกลจากโรคฟันผุ ที่สามารถสร้างความยุ่งยากตามมาภายหลังได้อีกมาก
หรือการอาบน้ำทุกครั้งหลังจากออกไปเรียนหรือเล่นนอกบ้านมาทั้งวัน หากเด็ก ๆ
ฝึกปฏิบัติจนเป็นนิสัย พวกเขาก็เหมือนมีเกราะป้องกันเชื้อโรคอีกหนึ่งเกราะที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่คลายกังวลใจไปได้อีกนิด
2. การทำความสะอาด
ถึงแม้ว่าปัจจุบันหน้าที่ความรับผิดชอบเรื่องงานบ้านและการทำความสะอาดนั้นจะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่
และบางบ้านอาจมีแม่บ้านประจำคอยดูแลความสะอาดให้
แต่เรื่องการทำความสะอาดนั้นเป็นทักษะที่ไม่ว่าใครก็ควรต้องมีติดตัวไว้
เพราะต้องได้ใช้บ้างสักวัน อาจมีคุณพ่อคุณแม่ที่กังวลเรื่องความสะอาดไม่อยากให้ลูก
ๆ ต้องสัมผัสกับสิ่งสกปรก แต่เราอยากให้ลองเปลี่ยนมุมมอง
เมื่อพวกเขาเรียนรู้เรื่องสุขอนามัยของตัวเองแล้ว
ก็ถึงเวลาที่จะเรียนรู้ว่าจะจัดการกับสิ่งสกปรกอย่างไร เช่น
ควรทำอย่างไรหากทำอาหารตกลงบนพื้นหรือโต๊ะอาหาร การเก็บกวาดจานก่อนนำไปล้าง
การเช็ดหรือปัดฝุ่นโซฟา
คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกกิจกรรมการทำความสะอาดที่เหมาะสมกับช่วงวัยของลูก ๆ
เพื่อให้พวกเขาฝึกทักษะเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม
3. ช่วยกันเตรียมอาหาร
เชื่อว่าคงไม่มีบ้านไหนออกไปกินข้าวนอกบ้านทุกวัน
หรือสั่งอาหารมารับประทานทุกมื้อ ดังนั้นการทำอาหารจึงเป็นพื้นฐานส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิต
และการทำอาหารง่าย ๆ ที่ไม่อันตรายนั้นก็เหมาะสำหรับเป็นบทเรียนเพิ่มทักษะให้กับลูกน้อยให้ได้เรียนรู้เรื่องวัตถุดิบ
และอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในครัว รวมถึงสิ่งสำคัญอย่างการใช้เวลาร่วมกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
นอกจากนี้การให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในการเตรียมมื้ออาหารนั้น
อาจช่วยทำให้พวกเขาเจริญอาหารในมื้อพิเศษนี้ได้ดีกว่าปกติก็เป็นได้
4. บริหารจัดการเวลา
เมื่อพูดถึงคำว่า “บริหารจัดการเวลา” อาจฟังดูไกลตัวสำหรับเด็ก
ๆ แต่ความจริงแล้วพ่อแม่ควรสอนให้ลูกเรียนรู้ที่จะวางแผนเวลาในแต่ละวันของตัวเอง
เพื่อให้พวกเขาสามารถให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต้องทำในช่วงเวลาหนึ่ง
และอดทนรอกิจกรรมที่จะได้ทำในช่วงเวลาถัดไป ตัวอย่างเช่น
การให้พวกเขาเรียนรู้ว่าควรทำการบ้านให้เสร็จ
หรือทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เรียบร้อยก่อนดูการ์ตูน หรือหากเด็ก ๆ
ออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ
ก็ควรที่จะรู้ว่าเมื่อไหร่ถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน
ซึ่งทักษะการจัดการเวลาเหล่านี้จะส่งผลสำคัญต่อการใช้ชีวิตเมื่อพวกเขาเติบโต และทำให้พวกเขาตระหนักถึงความสำคัญของเวลาอีกด้วย
5. เรียนรู้การออม
พ่อแม่มักเริ่มต้นให้เด็ก ๆ
ใช้เงินเมื่อก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียน และแน่นอนว่าการที่เด็ก ๆ
นั้นมีเงินสำหรับการซื้อขนมนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับเด็ก ๆ ไม่น้อย
บางคนใช้เงินทั้งหมดที่ได้รับมา บางคนมีเงินเหลือใช้เพราะไม่มีขนมที่อยากกิน
การปลูกฝังนิสัยรักการออมและจดบันทึกการออมนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก
โดยเฉพาะเมื่อพ่อแม่หลาย ๆ บ้านตามใจในการซื้อของเล่นให้พวกเขา
แต่ฝึกให้พวกเขาค่อย ๆ เก็บออมเพื่อให้มีจำนวนเงินมากพอจะซื้อของที่อยากได้
นิสัยนี้เมื่อฝึกได้แล้ว นอกจากจะเก็บออมจนเป็นนิสัยแล้ว
ยังปลูกฝังให้พวกเขารู้คุณค่าของสิ่งของว่ากว่าจะได้มานั้นพวกเขาอาจต้องอดใจไม่กินขนมไปหลายวัน
6. เปรียบเทียบสิ่งของก่อนจ่ายเงินซื้อ
การที่ลูก ๆ
อยากได้อะไรแน่นอนว่าคงมีพ่อแม่ไม่น้อยที่ใจอ่อนกับลูกอ้อนของพวกเขา
แต่เราแนะนำว่าก่อนจะซื้อของอะไรสักชิ้น
ลองฝึกให้พวกเขาเปรียบเทียบราคาสิ่งของที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
สิ่งของที่สามารถทดแทนกันได้ หรือสถานที่ในการซื้อสินค้าเหล่านั้น เพื่อให้ได้รับประโยชน์เรื่องราคา
และสอนให้พวกเขารอบคอบในการใช้เงินไปในตัว ทักษะนี้คุณพ่อคุณแม่เองสามารถททำให้ดูเป็นตัวอย่างเพื่อให้พวกเขาเรียนรู้ได้
เช่น เมื่อไปซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยกัน
การเปรียบเทียบราค่าและปริมาณให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการใช้งาน ก็จะทำให้พวกเขาค่อย
ๆ ซึบซับและเรียนรู้ไปทีละนิด
7. การแต่งตัวและเตรียมพร้อมเมื่อต้องออกไปนอกบ้าน
โดยปกติแล้วพ่อแม่มักเป็นฝ่ายเตรียมชุดแต่งกายให้ลูก
ๆ ด้วยความเคยชินเพราะเป็นสิ่งที่ต้องดูแลตั้งแต่พวกเขายังแบเบาะ แต่เมื่อลูก ๆ
เริ่มโตขึ้นแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง
อยากแต่งตัวในแบบที่ตัวเองเลือก
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือลองให้พวกเขาเลือกสิ่งที่ต้องการเองและคอยให้คำแนะนำว่าเหมาะสมหรือไม่
หากไม่เหมาะสมก็ควรต้องบอกเหตุผลให้พวกเขาเข้าใจ
หรือหากมีทริปที่ต้องเดินทางไปเที่ยวทั้งแบบค้างคืนและไม่ค้างคืน ลองถือโอกาสนี้ให้พวกเขาเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็น
เช่น หมวก หรือรองเท้าที่เหมาะสม
เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
8. ขอโทษเมื่อทำผิด
และเรียนรู้การให้อภัย
คงไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยผิดพลาด
แต่เมื่อผิดพลาดแล้วจะจัดการกับสถานการณ์เหล่านั้นอย่างไร เด็ก ๆ
หลายคนไม่สามารถรับมือกับความผิดพลาดได้
ไม่สามารถที่จะเอ่ยคำขอโทษเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด
ซึ่งอาจจะแสดงออกมาในรูปแบบของการไม่รับฟัง การใช้ความรุนแรง เพื่อปกปิดความรู้สึกผิดของตนเอง
การสอนให้พวกเขาเข้าใจว่าทุกคนล้วนสามารถทำผิดพลาดได้
แต่ผิดพลาดแล้วต้องเข้าใจและพยายามหาวิธีการแก้ไข
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเอ่ยคำขอโทษนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย
แต่เป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำเพื่อแสดงความเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป นำความผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียน
ขณะเดียวกันเมื่อเราเป็นฝ่ายถูกกระทำไม่ดีใส่
หากอีกฝ่ายเอ่ยคำขอโทษและแสดงให้เห็นอย่างจริงใจ เราก็ควรให้อภัย
ซึ่งสิ่งเหล่านี้พ่อแม่สามารถที่จะแสดงเป็นตัวอย่างให้กับลูก ๆ ได้
ด้วยการเอ่ยขอโทษและให้อภัยต่อกันภายในครอบครัว เพื่อปลูกฝังให้พวกเขารู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องอาย
9. ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
และห่วงใยสัตว์ร่วมโลก
เมื่อเด็ก ๆ เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับโลกที่เราอาศัยอยู่และรู้ว่าโลกนั้นเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่สิ่งมีชิวิตสามารถอาศัยอยู่ได้ในตอนนี้
ทุกคนบนโลกใช้ประโยชน์จากทรัพยากรบนโลกร่วมกัน และเราควรต้องปกป้องดูแลมันเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็น พืช สัตว์ น้ำ อากาศ เพราะสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวพวกเขาล้วนส่งผลต่อการใช้ชีวิตของพวกเขา
พ่อแม่อาจเริ่มต้นจากการให้พวกเขาลองรดน้ำต้นไม้ แยกขวดพลาสติกและกระดาษ
เห็นคุณค่าของชีวิตของสัตว์ต่าง ๆ
10. สร้างนิสัยรักการอ่านและไม่หยุดเรียนรู้
การอ่านคือประตูสู่การเรียนรู้ที่ไม่จบสิ้น หากพ่อแม่ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้กับลูก
ๆ
พวกเขาก็จะได้มีโอกาสเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ที่จะช่วยให้พวกเขามีความรู้ที่กว้างไกล
รวมถึงเปิดกว้างทางความคิด เข้าใจความเป็นไปได้หลาย ๆ อย่าง ซึ่งพ่อแม่ควรสร้างเสริมนิสัยการไม่หยุดเรียนรู้เพื่อการพัฒนาต่อไปของพวกเขาในอนาคต
ผู้ปกครองที่สนใจหนังสือเรียนรู้และฝึกฝน
สามารถสั่งซื้อได้ที
โทร : 081-720-3906, 093-415-6956
อีเมล : global.sipatta@gmail.com
เว็บไซต์
: www.globaleducatethai.com
Facebook: https://www.facebook.com/kung.sipatta